Google ใช้อัลกอริทึมที่ซับซ้อนในการจัดอันดับเว็บไซต์สำหรับการค้นหา (SEO) โดยอัลกอริทึมนี้มีการพิจารณาปัจจัยหลายร้อยปัจจัยที่ส่งผลต่อการจัดอันดับเว็บไซต์ ปัจจัยสำคัญและอัลกอริทึมที่ Google ใช้ในกระบวนการ SEO มีดังนี้:
1. PageRank
- PageRank เป็นอัลกอริทึมดั้งเดิมที่ Google ใช้ในการวิเคราะห์จำนวนและคุณภาพของลิงก์ที่ชี้ไปยังหน้าเว็บต่างๆ โดยวัดความสำคัญของเพจตามลิงก์ภายนอก (backlinks) ที่ชี้มายังเพจนั้นๆ อย่างไรก็ตาม PageRank เป็นเพียงส่วนหนึ่งของอัลกอริทึมที่ซับซ้อนในปัจจุบัน
2. RankBrain
- RankBrain เป็นอัลกอริทึมที่ใช้ AI (Artificial Intelligence) และ Machine Learning ซึ่งช่วยให้ Google สามารถตีความคำค้นหาที่ซับซ้อนและให้ผลลัพธ์ที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้ได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ RankBrain ยังเรียนรู้จากการกระทำของผู้ใช้เพื่อปรับปรุงความแม่นยำของผลลัพธ์การค้นหา
3. BERT (Bidirectional Encoder Representations from Transformers)
- BERT เป็นอัลกอริทึมที่ใช้การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing - NLP) เพื่อทำความเข้าใจความหมายของคำค้นหาได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการตีความคำในบริบทของคำอื่นๆ ที่อยู่รอบข้าง ทำให้สามารถจับใจความที่ซับซ้อนได้ เช่น การค้นหาที่เกี่ยวข้องกับคำถาม
4. Mobile-first Indexing
- Google ใช้ Mobile-first Indexing ซึ่งหมายความว่าเว็บไซต์เวอร์ชันมือถือจะถูกนำมาพิจารณาก่อนเป็นหลักในการจัดอันดับ ดังนั้นการที่เว็บไซต์มีการออกแบบที่รองรับการใช้งานบนมือถือ (Mobile-friendly) จึงเป็นปัจจัยสำคัญใน SEO
5. Core Web Vitals
- Google ได้เพิ่ม Core Web Vitals ซึ่งประกอบด้วยสามปัจจัยหลักที่วัดประสิทธิภาพการใช้งานเว็บไซต์ ได้แก่
- Largest Contentful Paint (LCP): วัดความเร็วในการโหลดเนื้อหาหลักของเว็บไซต์
- First Input Delay (FID): วัดการตอบสนองต่อการปฏิสัมพันธ์ครั้งแรกของผู้ใช้
- Cumulative Layout Shift (CLS): วัดความเสถียรของการจัดวางหน้าจอขณะโหลดเว็บไซต์
6. E-A-T (Expertise, Authoritativeness, Trustworthiness)
- Google ใช้หลักการ E-A-T ซึ่งเน้นในเรื่องความเชี่ยวชาญ (Expertise) ความน่าเชื่อถือ (Authoritativeness) และความไว้วางใจได้ (Trustworthiness) ของเนื้อหาบนเว็บไซต์ โดยเฉพาะเว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลด้านการแพทย์ การเงิน หรือข่าวสารที่มีความสำคัญสูง
7. Penguin Algorithm
- Penguin Algorithm มุ่งเน้นไปที่การปราบปรามเว็บไซต์ที่ใช้วิธีการที่ไม่ถูกต้อง เช่น การสร้างลิงก์ที่ไม่มีคุณภาพหรือการสร้างลิงก์ที่เกิดจากการปั่น SEO (Link schemes) เพื่อให้ได้อันดับสูงขึ้นอย่างไม่เป็นธรรม
8. Panda Algorithm
- Panda Algorithm มุ่งเน้นในการจัดการกับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาที่ซ้ำซ้อน หรือมีเนื้อหาคุณภาพต่ำ (Thin content) โดยให้อันดับต่ำลงกับเว็บไซต์ที่มีการคัดลอกเนื้อหา หรือมีเนื้อหาที่ไม่ให้คุณค่ากับผู้ใช้
9. Hummingbird Algorithm
- Hummingbird เป็นอัลกอริทึมที่ช่วยให้ Google สามารถตีความคำค้นหาได้แม่นยำขึ้นโดยเน้นการทำความเข้าใจคำค้นหาในบริบทของคำอื่นๆ ในประโยค ทำให้ผลลัพธ์การค้นหามีความแม่นยำและตอบโจทย์ผู้ใช้มากขึ้น
10. Google Freshness Algorithm
- Freshness Algorithm ทำให้ผลการค้นหาของ Google เน้นไปที่เนื้อหาที่เป็นปัจจุบัน โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้ใช้ค้นหาเรื่องราวที่เป็นข่าว หรือเนื้อหาที่อัปเดตล่าสุด
11. Local SEO Algorithm
- สำหรับการค้นหาที่เกี่ยวข้องกับสถานที่หรือบริการในพื้นที่ Google จะใช้อัลกอริทึม Local SEO เพื่อจัดอันดับเว็บไซต์ที่มีความเกี่ยวข้องกับสถานที่หรือธุรกิจในพื้นที่ เช่น การใช้ข้อมูลจาก Google My Business, รีวิว และข้อมูลตำแหน่งที่ตั้งของธุรกิจ
12. Secure Site Algorithm (HTTPS)
- Google ให้ความสำคัญกับความปลอดภัย โดยเว็บไซต์ที่ใช้ HTTPS จะมีโอกาสได้อันดับที่ดีกว่าเว็บไซต์ที่ยังใช้ HTTP เนื่องจากความปลอดภัยในการเชื่อมต่อเป็นสิ่งที่ผู้ใช้ให้ความสำคัญมากขึ้น
13. User Experience Signals
- ปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับประสบการณ์ของผู้ใช้ (UX) ก็มีความสำคัญ เช่น Bounce Rate, Time on Site, และ Click-through Rate (CTR) ซึ่งแสดงถึงความพึงพอใจของผู้ใช้ต่อเว็บไซต์
สรุป
Google ใช้หลายอัลกอริทึมที่ซับซ้อนเพื่อประเมินและจัดอันดับเว็บไซต์ตามคุณภาพ ความเกี่ยวข้อง ความเร็ว และประสบการณ์ของผู้ใช้ ปัจจัยที่สำคัญที่สุดใน SEO ได้แก่ การมีเนื้อหาคุณภาพสูง เว็บไซต์ที่โหลดเร็ว รองรับมือถือ มีการใช้ HTTPS และการเชื่อมโยงลิงก์คุณภาพ